บทที่ 8 อุปกรณ์ต่อพ่วง
8.1 บทนำอุปกรณ์ต่อพ่วง คือ อุปกรณ์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีประสิทธฺภาพในการทำงานมากขึ้น ปัจจุบันอุปกรณ์ต่อพ่วงพัฒนาล้ำหน้าไปมาก
8.2 กล้องดิจิตอล
รูปที่ 1 แสดงภาพกล้องดิจิตอล
แต่เดิมนั้นกล้องที่ใช้ทั้วไปจะเป็นกล้องแบบใช้ฟิล์ม ขนาด 3.5 มม. หรือที่เรียนกันว่า กล้อง 35 มม. แต่ขณะนี้ มีนวัตกรรมทางการถ่ายภาพที่ล้ำหน้าไปไกล การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยที่เปลี่ยนการใช่ฟิล์มแบบธรรมดามาเป็นการใช้ฟิล์มแบบดิจิตอล ซึ่งกล้องแบบนี้มีชื่อเรียกกันว่า ""กล้องดิจิตอล" (Digital Camera)
การทำงานของกล้องดิจิตอล มีการทำงานคล้ายกับกล้อง 35 มม. คือ ใช้หลักการสะท้อนและตกกระทบของแสดงลงบนแผ่นฟิล์ม แต่ในกล้องจิติตอลนั้น ฟิล์ม แต่ในกล้องดิจิตอลนั้น ฟิล์มรับภาพจะทำการประมวลผลออกมาเป็นจุดสีจุดเล็ก ๆ เรียกว่าพิกเซล (Pixel) เมื่อนำจุดมารวมกันก็จะเกิดเป็นภาพขึ้นมา เรียกว่า "ภาพดิจิตอล" ซึ่งจุดนั้นจะถูกส่งไปเก็บอยู่ในหน่วยความจำกล้อง
ความพิเศษที่ทำให้กล้องดิจิตอลต่างจากกล้องฟิล์ม คือ ผู้ถ่ายสามารถดูภาพถ่ายได้ทันทีผ่านทางหน้าจอ LCD ซึ่งจะเพิ่มความรวดเร็ว และผู้ถ่ายสามารถได้ทดสอบฝีมือตนเองได้ เพราะภาพถ่ายออกมาหากไม่ต้องการก็สามารถลบทิ้งได้ทันที่ นอกจากนี้ยังสามารถนำภาพที่ถ่ายมาไปใช้งานบนคอมพิวเตอร์ได้ง่ายกล้องดิจิตอล
8.3 หน่วยความจำของกล้องดิจิตอล
อุปกรณ์สำหรับเก็บบันทึกข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับุปกรณ์ดิจิตอลยุคใหม่ ไม่้พียงแต้กล้องดิจิตอลเท่านั้น เครื่องเล่น/ บันทึกดีวีดี เครื่องเล่นเพลง MP3 พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ อุปกรณ์เหล่านั้นนี้ล้วนแต่มีพัฒนาการในการในการบันทึกข้อมูลภายในตัวเองมากขึ้นตามระยะเวลา ในช่วงระยเวลาไม่ถึง 5 ปี มีหน่วยความจำหลาย ๆ ชนิดถูกผลิขึ้นมา หน่วยจำเหล่านี้โครงสร้างพื้นฐานนั้นทำมาจากหน่วยความจำที่ใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีอยู่สองประเภทคือ Hard Drive และ RAM หน่วยความจำ RAM เรียกอีกอย่างว่า Flash Memory หรือเป็นหน่วยความจำแบบ Solid State เนื่องจากหน่วยความจำแบบนี้ขจะมีชิ้นส่วนสำคัญคือใช้เซมิคอนดักเตอร์ไม่มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่ได้
หน่วยความจำแบบ Solid State จะใช้ชิบ EEPROM เป็นชิ้นส่วนภายใน ซึ่งชิปประเภทนี้สามารถบันทึกข้อมุลลงไปได้หรือลบทิ้ง แล้วก็บันทึกซ้ำได้อีกกี่ครั้งก้ได้ และตัวชิป EEROM ยังเก็บรักษาข้อมูลเอาไว้ได้โดยไม่ต้องมีกระแสไฟ้ฟ้าเข้าไปเลี้ยง ตรงข้ามกับชิป Flash Ram หรือ RAM ที่ใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ วิทยุ ที่จำเป็นจำต้องใช้กระแสไฟฟ้าตลอดเวลา จะเห้นว่าหากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือไฟดับคอมพิวเตอร์มาใหม่ งานที่ยังไม่ได้เซฟก็จะหายไปด้วย หาก เป็นวิทยุก็ต้องมาจุนหาสถานีกันใหม่อีก
8.4 หน่วยความจำสำหรับใช้กับกล้องดิจิตอล
รูปที่ 2 หน่วยความจำแบบ Smart Media |
martMedia Card เป็น Memory Card ที่คิดค้นมาตรฐานขึ้นมาโดย บริษัท โตชิบา และถูกนำเสนอแก่สาธารณะชนอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1995 โดยในสมัยนั้นได้ผลิตออกมาเพื่อแข่งขันกับ MiniCard หรือ Miniature Card, CompactFlash Card และ PC Card (PCMCIA Card) โดยตรง ชื่อเริ่มแรกของ SmartMedia Card นั้นใช้ชื่อว่า SSFDC (Solid State Floppy Disk) ซึ่งราวกับว่าเป็นเทคโนโลยีที่สืบทอดมาจาก Floppy Disk ก็ว่าได้ โดยในปัจจุบัน SmartMedia Card นั้นได้ยกเลิกสายการผลิตไปแล้ว เนื่องจากการใช้งานไม่แพร่หลายและมีเทคโนโลยีการ์ดหน่วยความจำแบบใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ จะใช้พวกหน่วยความจำแบบ SD หรือ xD แทน
8.4.2 Compact Flash (CF Card)
CompactFlash Card หรือ CF Card ถูกพัฒนาและผลิตขึ้นครั้งแรกโดย บริษัท SanDisk ในปี ค.ศ.1994 ซึ่งสามารถแบ่งได้ 2 แบบหลักคือ Type I และ Type II โดย Type I จะมีความหนาน้อยกว่า Type II เล็กน้อย และอีกไม่นานก็จะมี Type III ผลิตออกมาด้วย สำหรับความเร็วในการทำงานนั้น ก็มีตั้งแต่ความเร็วมาตรฐานเริ่มแรก, ความเร็วแบบ High Speed (CF+ หรือ CF2.0) และความเร็วตามมาตรฐาน CF3.0 ซึ่งถูกนำมาใช้ในปี ค.ศ.2005 และสำหรับสล็อตแบบ CF Type II นั้นสามารถนำหน่วยความจำแบบ Microdrive หรืออุปกรณ์อื่นๆ บางอย่างมาใส่ได้ด้วย
จะมีความกว้าง 43 มิลลิเมตร, สูง 36 มิลลิเมตร และมีความหนาอยู่ 2 ระดับคือ 3.3 มิลลิเมตร (Type I) และ 5 มิลลิเมตร (Type II) ซึ่ง CompactFlash Type I สามารถนำไปใส่ในสล็อตของ CompactFlash Type II ได้ แต่ CompactFlash Type II นั้นมีความหนามากกว่าเกินที่จะนำไปใส่ในสล็อตของ CompactFlash Type I ได้ ดังนั้นการ์ดหน่วยความจำประเภท Flash Memory จึงมักจะอ้างอิงกับความหนาของ CompactFlash Type I เป็นหลัก ในยุคแรกๆ นั้นการ์ดหน่วยความจำแบบ SmartMedia Card ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของ CompactFlash Card ในสมัยนั้น ได้รับความนิยมแพร่หลายมากกว่า แต่ในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ.2002-2005 ด้วยปัญหาและจุดอ่อนบางประการ และมีการ์ดหน่วยความจำชนิดใหม่ๆ ที่ดีกว่าหลายชนิดถูกพัฒนาขึ้นมา จึงทำให้ SmartMedia Card นั้นได้รับความนิยมน้อยลงมาก จนต้องยกเลิกสายการผลิตลงในที่สุด
8.4.3 xD-Picture Card
Card (Extra Digital) : เอ็กซ์ดีการ์ด เป็นหน่วยความจำสำหรับรองรับอุปกรณ์มัลติมีเดียที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ล่าสุดโดยบริษัท Fuji และ Olympus ด้วยเหตุผล เพื่อมาลบข้อ จำกัดของหน่วยความจำสมาร์ทมีเดีย และเพื่อรองรับขนาดความจุได้สูงขึ้น อีกทั้ง ทำให้หน่วยความจำนี้มีขนาดที่เล็ก และบางกว่าหน่วยความจำทั้งหมดที่เคย มีมา ด้วยคุณสมบัติของหน่วยความจำชนิดนี้คือบันทึกและ อ่านด้วยความเร็วที่สูงจึงสามารถบันทึกข้อมูลได้ที่อัตรา ความเร็ว 5 เมกกะไบท์ต่อวินาที
8.5.4 multi Medai card (MMC)
หน่วยความจำแบบ SD Card ในไม่ช้า แต่ที่ยังคงมีการใช้งาน MMC Card กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เนื่องจาก MMC Card นั้นสามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่รองรับ SD Card ได้ด้วย โดยอุปกรณ์ที่นำ MMC Card ไปใช้งานนั้นก็มักจะเป็นอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ, เครื่องพีดีเอ, เครื่องเล่นเพลง MP3 หรือกล้องดิจิตอล ซึ่งในปัจจุบันขนาดความจุสูงสุดของ MMC Card ที่มีวางจำหน่ายทั่วไปแล้วนั้นจะอยู่ที่ 2GB เนื่องจากมีขนาดที่เล็กกว่า คือมีขนาด 24x16x1.5 มม.
8.4.5 secure Digital card
SD Card หรือเรียกชื่อเต็มๆ ว่า Secure Digital Card นั้นนิยมนำมาใช้กับอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กต่างๆ หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ, กล้องดิจิตอล หรือเครื่องพีดีเอ โดยที่ SD Card นั้นพัฒนาขึ้นมาอยู่บนพื้นฐานของการ์ดหน่วยความจำแบบ MMC Card โดยจะมีความกว้างและยาวเท่ากัน นั่นคือมีความยาว 32 มิลลิเมตร และกว้าง 24 มิลลิเมตร แต่จะมีความหนาที่มากกว่า MMC Card อยู่เล็กน้อย นั่นคือมีความหนา 2.1 มิลลิเมตร โดยทาง บริษัท Toshiba ได้เพิ่มความสามารถทางด้านฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่เข้ารหัสข้อมูลเข้าไปในเทคโนโลยีเดิมของ MMC Card และยังใส่เทคนิคพิเศษที่เรียกว่า DRM (Digital Rights Management) ซึ่งเป็นตัวจัดการเกี่ยวกับเรื่องของลิขสิทธิ์ของข้อมูลมาให้ นอกจากนั้นที่ด้านข้างของ SD Card ยังมีสวิตช์ล็อคสำหรับป้องกันการเขียนข้อมูลทับเอาไว้ให้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม SD Card ก็ยังมีข้อเสียเปรียบ MMC Card อยู่บ้าง เช่นเรื่องของการสูญเสียพื้นที่ข้อมูลไปโดยเปล่าประโยชน์ กล่าวคือในกรณีของ SD Card ในทุกๆ 64MB จะมีอัตราการสูญเสียพื้นที่ข้อมูลไปประมาณ 1.5MB ในขณะที่ MMC Card ในทุกๆ 64MB จะมีอัตราการสูญเสียพื้นที่ข้อมูลไปเพียงประมาณ 0.5MB เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่างกันมากราวๆ 3 เท่าเลยทีเดียว
8.4.6 Memory Stick
เป็นเมมโมรี่การ์ดชนิดหนึ่ง ที่คิดค้นโดยบริษัท Sony เดิมเป็นหน่วยความจำ/สื่อจัดเก็บข้อมูลที่ออกมารองรับอุปกรณ์มัลติมีเดียของ Sony โดยเฉพาะ ซึ่ง sony ได้ทำการพัฒนาออกมาหลายรุ่นด้วยกัน เช่น Memory Stick, Memory Stick Duo (มีระบบป้องกันข้อมูลในส่วนของ เป็นเมมโมรี่การ์ดชนิดหนึ่ง ที่คิดค้นโดยบริษัท Sony เดิมเป็นหน่วยความจำ/สื่อจัดเก็บข้อมูลที่ออกมารองรับอุปกรณ์มัลติมีเดียของ Sony โดยเฉพาะ ซึ่ง sony ได้ทำการพัฒนาออกมาหลายรุ่นด้วยกัน เช่น Memory Stick, Memory Stick Duo (มีระบบป้องกันข้อมูลในส่วนของ Memory Stick MagicGate), Memory Stick with memory selection function Total 256 mb (128 mb x 2), Memory Stick Pro, Memory Stick Pro Duo (มีระบบป้องกันข้อมูลในส่วนของ Memory Stick MagicGate)
มีรูปร่างเป็นแท่งแบนยาวคล้ายหมากฝรั่ง มีขนาด 50 x 21.5 x 2.8 มิลลิเมตร สามารถจุข้อมูลได้มากถึงระดับกิกะไบต์ และมีความเร็วในการบันทึกและการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงระดับ 1.3 MB ต่อวินาที ซึ่งสูงกว่าหน่วยความ SD card หรือ MMC card แบบธรรมดา ช่วยให้การเขียนอ่านข้อมูลทำได้ด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่เมมโมรี่สติ๊กไม่ค่อยได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใช้ทั่วไปเท่าใดนัก เนื่องจากราคาที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับเป็นหน่วยความจำที่มักใช้ในอุปกรณ์มัลติมีเดียเฉพาะทางค่าย Sony เท่านั้น
8.5 แฟลชไดร์ฟ (flash Drive)
Flash Drive (หรือที่หลายคนเรียก Handy Drive, Thumb Drive, USB Drive)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือไฟล์จากคอมพิวเตอร์ มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา สะดวกในการพกพาติดตัว แต่ในขณะเดียวกันมีความจุสูง สามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมากตั้งแต่ 2 GB ถึง 16 GB และขนาดความจุข้อมูลก็ได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
8.6 ประโยชน์ของแฟลชไดร์ฟ คือ
- ความจุข้อมุลสุงตั้งแต่ 128 MD ถึง 2 GB
- เก็บข้อมูลการติดต่อ เช่อ เบอร์โทรศัพท์ หรือ Addressbook เพื่อความสะดวกในการใช้งานทุกที
- ใช้เก็บข้อมูลที่ดาวน์โหลด,ไฟล์งาน หรือโน๊ตข้อความ เวลาคุณใช้คอมพิวเตอร์ที่ Internet Cafe
- ย้ายข้อมูลหรือไฟล์ ได้อย่างสะดวกง่ายดาย ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือระหว่าง
คอมพิวเตอร์กับ โน็ตบุ๊ค
- ใช้เก็บรูปภาพจากกล้องดิจิตอล เพื่อนำไปโชว์เพื่อนๆ
- ฟังเพลง MP3 ได้โดยตรงทุกที่ทุกเวลา (เฉพาะรุ่นที่มี MP3 Player)
- ใช้เป็นฮาร์ดดิสส่วนตัว เก็บข้อมูลทุกอย่างในที่เดียว สำหรับพกพาไปใช้งานในที่ต่างๆ
- เก็บข้อมูลสำคัญๆ แล้วป้องกันข้อมูลด้วยระบบ Password และการเข้ารหัสข้อมูล DATA Encryption
- ใช้แบ็คอัพข้อมูลสำคัญๆ หรือไฟล์ต่างๆ
- ใช้เก็บข้อความ E-mail ต่างๆ ที่สำคัญ
- ใช้เก็บไฟล์งานชั่วคราว สำหรับเอาไว้ใช้งานหรือแก้ไขได้ทุกที่ (ที่บ้าน, ที่ทำงาน,ร้านอินเตอร์เน็ต)
- เพิ่มคุณสมบัติ และการใช้งานด้วย add-on Software เช่น โปรแกรม E-mail
8.7 ปริ้นเตอร์ (Printer)
รูปที่ 3 ปริ้นเตอร์ |
เป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงที่จะผลิตข้อความและ/หรือกราฟิกของเอกสารที่เก็บไว้ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ออกมาในสื่อทางกายภาพเช่นกระดาษหรือแผ่นใส
เครื่องพิมพ์ส่วนมากเป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงทั่วไปและเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิลเครื่องพิมพ์หรือในเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่จะเป็นสายยูเอสบี เครื่องพิมพ์บางชนิดที่เรียกกันว่าเครื่องพิมพ์เครือข่าย(Network Printer) อินเตอร์เฟซที่ใช้มักจะ เป็นแลนไร้สายและ/หรืออิเทอร์เน็ต เครื่องพิมพ์แบ่งออกเป็น 4 ประเภทได้แก่
8.7.1 เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ (Dot Matri Printer)
เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ (Dot-matrix printer) การทำงานของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้คือจะใช้การสร้างจุดลงบนกระดาษ ซึ่งหัวพิมพ์จะมีลักษณะเป็นหัวเข็ม เมื่อต้องการพิมพ์รูปทรงหรือรูปภาพใดๆ หัวเข็มที่อยู่ในตำแหน่งตามรูปประกอบนั้นๆ จะยื่นออกมามากกว่าหัวอื่นๆ และกระแทกกับผ้าหมึกลงกระดาษที่ใช้พิมพ์ จะทำให้เกิดจุดมากมายประกอบกันเป็นรูปเกิดขึ้นมา เครื่องพิมพ์ประเภทนี้เป็นที่นิยมกันอย่างมากเพราะมีราคาถูกและคุณภาพเหมาะสมกับราคา แต่ข้อเสียคือเวลาสั่งพิมพ์จะเกิดเสียดังพอสมควร มีแต่การพิมพ์แบบขาว-ดำเท่านั้น และต้องใช้กระดาษเฉพาะสำหรับเครื่องพิมพ์แบบนี้เท่านั้น โดยตัวกระดาษจะมี3ชั้น ชั้นแรกเป็นหน้าที่จะพิมพ์ปกติ ชั้นที่2เป็นไส้ในที่เป็นกระดาษคาร์บอนสีดำ และชั้นสุดท้ายเป็นกระดาษปกติสำหรับใช้สำหรับสำเนาสิ่งที่พิมพ์ ซึ่งสำเนาจากการพิมพ์ด้วยกระดาษแบบนี่เรียกว่า สำเนาคาร์บอน ด้านข้างกระดาษจะมีรูเป็นแถวตามยาวไว้สำหรับล็อกเข้ากับเขี้ยวของเฟืองที่เป็นส่วนหนึ่งของกลไกการป้อนกระดาษ
8.7.2 เครื่องพิมพ์แบบพ่หมึก (Ink-Jet Printer)
เป็นเครื่องพิมพ์ที่ทำงานโดยการพ่นหมึกออกมาเป็นหยดเล็กๆ ลงบนกระดาษ เมื่อต้องการพิมพ์รูปทรงหรือรูปภาพใดๆ เครื่องพิมพ์จะทำการพ่นหมึกออกตามแต่ละจุดในตำแหน่งที่เครื่องประมวลผลไว้อย่างแม่นยำ ตามความต้องการของเรา ซึ่งเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกจะมีคุณภาพดีกว่าเครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ โดยรูปที่มีความซับซ้อนมากๆเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ชัดเจนและคมชัดกว่าแบบดอตแมทริกซ์
8.7.3 เครื่องพิมพ์เลเซอร์
เครื่องพิมพ์แบบหนึ่งที่ใช้ลำแสงเลเซอร์ในการสร้างภาพและถ่ายทอดลงสู่กระดาษด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (ทำงานคล้ายเครื่องถ่ายเอกสาร) ความ เร็วของเครื่องพิมพ์เลเซอร์นั้นวัดกันเป็นหน้าต่อนาที (ppm) เช่น 10 หน้าต่อนาที เป็นต้น (เพราะพิมพ์ครั้งละหนึ่งหน้า) ส่วนคุณภาพของการพิมพ์นั้น วัดเป็นจุดต่อนิ้ว (dpi) เช่น 600 จุดต่อ 1 นิ้ว ยิ่งมีจุดมาก แสดงว่ามีความละเอียดมาก ภาพจะคมชัดกว่าภาพที่มีจุดน้อยหรือมีความละเอียดน้อย
8.7.4 พล็อตเตอร์ (Plotter)
พล็อตเตอร์ (Plotter) เป็นเครื่องพิมพ์แบบที่ใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลลงบนกระดาษ ซึ่งเครื่องพิมพ์ประเภทนี้เหมาะกับงานเขียนแบบของวิศวกรและสถาปนิก และเครื่องพิมพ์ประเภทนี้มีราคาแพงที่สุดในเครื่องพิมพ์ประเภทต่างๆ
8.8 สแกนเนอร์ (Scanner)
รูป สแกนเนอร์
คืออุปกรณ์จับภาพและเปลี่ยนแปลงภาพ จากรูปแบบของแอนาลอกเป็นดิจิตอล ซึ่งคอมพิวเตอร์ สามารถแสดง, เรียบเรียง, เก็บรักษาและผลิตออกมาได้ ภาพนั้นอาจจะเป็นรูปถ่าย, ข้อความ, ภาพวาด หรือแม้แต่วัตถุสามมิติ8.9 การทำงานองสแกนเนอร์
สแกนเนอร์ มีหลักการทำงาน คือ เครื่องอ่านภาพ จะทำการอ่านภาพโดยอาศัยการสะท้อน หรือการส่องผ่านของแสง กับภาพต้นฉบับที่ทึบแสง หรือโปร่งแสง ให้ตกกระทบกับ แถบของอุปกรณ์ไวแสง (Photosensitive) ซึ่งมีชื่อในทางเทคนิคว่า Charge-Couple Device (CCD) ตัว CCD จะรับแสงดังกล่าวลงไปเก็บไว้ใน เส้นเล็กของเซล และจะแปลงคลื่นแสง ของแต่ละเซลเล็กๆ ให้กลายเป็นคลื่นความต่างศักย์ ซึ่งจะแตกต่างไปตามอัตราส่วน ของระดับความเข้มของแสงแต่ละจุด
8.10 ภาพจากสแกนเนอร์
ภาพในคอมพิวเตอร์ จะอยู่ในรูปแบบดิจิตอล คอมพิวเตอร์แทนส่วนเล็ก ๆ ของภาพที่เรียกว่า พิกเซล (Pixels) ขนาดของไฟล์รูปภาพ จะประกอบด้วย จำนวนพิกเซลเป็นร้อยเป็นพัน คอมพิวเตอร์จะบันทึก ค่าความเข้ม และค่าสีของพิกเซลแต่ละพิกเซล ด้วยจำนวน 1 บิต หรือหลายๆ บิต จำนวนของพิกเซล จะเป็นตัวแสดงถึงความละเอียด และถ้ามีจำนวนบิตต่อพิกเซลมาก สีที่ได้ก็จะมากตามไปด้วย
8.11 แดง เขียว น้ำเงิน (RGB)
การอ่านภาพสี CCD ของเครื่องอ่านภาพ จะมีการประมวลผล โดยอาศัยโครงสร้างของแม่สี 3 สี คือ แดง, เขียว และน้ำเงิน ในทางเทคนิคจะเรียกว่า RGB ในโครงสร้างสีแบบ RGB นี้แต่ละสีที่เกิดขึ้นจะประกอบด้วยแม่สีทั้ง 3 สีรวมอยู่ด้วยกันในค่าที่ต่างกันไป สีดำเกิดขึ้นจาก การไม่มีแสงสีขาว ในทำนองเดียวกัน สีขาวก็เกิดจากแสงแม่สีทั้ง 3 อยู่ในระดับสูงสุดเท่าๆ กัน (100 เปอร์เซ็นต์ของ RGB) และระดับแสงเท่าๆ กันของทั้ง 3 แม่สีจะเกิดแสงสีเทา (Gray Scale)
8.12 ชนิดของสแกนเนอร์
สแกนเนอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบหลักๆ คือ
1. สแกนเนอรืแบบสอดแผ่น เป็นประเภทที่ใช้งานมากที่สุดในปัจจุบัน ตัวเครื่องมีขนาดเล้กน้ำหนักเบาประมาณ 0.5-1.5 กิดลกรัม
2. สแกนเนอร์มือถือ เป้ฯสแกนเนอร์ขนาดเล้กใช้มือถือสแกนเนอร์เลื่อนขึ้นลงไปตามภาพที่ต้องการแต่ในปัจจุบันไม่นิยมใช้งานแล้วเนื่องจากภาพที่ได้ไม่ค่อยละเอียด ส่วนมากนิยมสแกนภาพโลโก้ หรือภาพที่มีขนาดเล็ก ๆ
3. สแกนเนอร์แผ่นเรียบ เป็นเครื่องสแกนเนอร์ขนาดใหญ่ประกอบด้วยกระจกเอาไว้สแกนเนอร์ภาพคล้ายกับเครื่องถ่ายเอกสาร ภาพที่คุณดี แต่ราคาค่อนข้างแพง
8.13 ปัจจัยในการเลือกซื้อสแกนเนอร์
1. คุณสมบัติเฉพาะของสแกนเนอร์ ซึ่งได้แก่
สีและโทนสี
ช่วงไดนามิก
ความเร็วในการสแกน
2. การใช้วงานสแกนเนอร์ สามารถพิจารณาจาก
ความสะดวกในการใช้งาน
การติดตั้ง
ปริมาณการในใช้งาน
3. เงื่อนไขการรับประกัน
ก่อนซื้อควรแน่ใจว่า ผู้ขายเครื่องสแกนเนอร์มีการรับประกันเครื่องซึ่งปัจจุบันมักจะมีการรับประกันประมาณ 1 ปี
4. ความน่าเชื่อถือขิงบริษัทผู้จำหน่าย
ควรแน่ใจว่า ผู้ขายเครื่องสแกนเนอร์ มีวิธีการให้สามารถอัพเกรดไดร์ฟเวอร์ได้สะดวก เช่น ดาวน์โหลดได้ฟรีผ่านททางเว็บ
5. ราคา
ราคาเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อสแกนเนอร์นอกจากองค์ประกอบทางด้านประสิทธิภาพการทำงานของสแกนเนอร์แล้ว เพราะราคาในการซื้อขึ้นอยุ่กับงบประมาณของผู้ใช้งาน